‘วิกรม กรมดิษฐ์’ All Win มอบ 2 หมื่นล้านช่วยสังคม!

“ยิ่งให้...ยิ่งมี” ปลายตาไปทั่วมุมโลก บรรดามหาเศรษฐีที่ประสบความสำเร็จจากการดำเนินธุรกิจมีเงินทองมากมายนับหมื่นนับแสนล้านล้าน เมื่อถึงจุดหนึ่งของชีวิต พวกเขาจะมักจะคิดถึงประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน
หากไล่เลียงบรรดามหาเศรษฐีโลก อย่าง “วอเร็น บัฟเฟตต์” นักธุรกิจที่ทำการค้ามาตั้งแต่อายุแค่ 11 ขวบ จนกลายเป็นอัครมหาเศรษฐี ตั้งใจแน่วแน่บริจาคเงินกว่าเก้าแสนล้านบาท เพื่อช่วยเหลือสังคมโลก, “บิลล์ เกตส์” นักธุรกิจชาวอเมริกัน เจ้าพ่อไมโครซอฟท์ เศรษฐีเบอร์ 1 ของโลก ก็บริจาคเงินให้มูลนิธิการกุศลต่างๆ กว่าเก้าแสนล้านบาทเช่นกัน ส่วนเอเชียก็ไม่น้อยหน้า “ลี กาซิง” เศรษฐีเกาะฮ่องกง ที่โชคชะตาเป็นเด็กผู้ยากไร้ทุกข์ยากลำบากมาแสนสาหัส เมื่อประสบความสำเร็จในธุรกิจเขาก็ได้บริจาคให้สังคมเฉียดหมื่นล้านบาท
ย้อนกลับมาที่เมืองไทยของเรา นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ หลายคนใช้ชีวิตในครอบครัวที่ปากกัดตีนถีบ แต่ด้วยความมุมานะ ซื่อสัตย์ สุจริต ก็สามารถลิขิตชีวิตตนเองให้รอดพ้นจากความทุกข์ยากไร้ ได้อย่างน่าชื่นชม และเมื่อถึงเวลาอันสุกงอมเขาเหล่านั้น ก็ไม่เคยลืมเพื่อนร่วมแผ่นดินที่ยากจนข้นแค้น พร้อมหยิบยื่นโอกาสที่ดีช่วยเหลือเพื่อนร่วมชาติอย่างน่าชื่นชมยิ่ง
ครบรอบอายุ 70 ปีของ “วิกรม กรมดิษฐ์” บิ๊กบอสแห่ง “อมตะ” ก็ได้ประกาศมอบทรัพย์สินส่วนตัว มูลค่าราว 2 หมื่นล้านบาท เข้ามูลนิธิอมตะ เพื่อสานต่อเจตนารมณ์เพื่อประโยชน์สาธารณะ ด้วยหวังว่าจะสามารถยกระดับคุณภาพสังคม สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจผ่านกิจกรรม ทั้งส่งเสริมวงการศึกษา ศิลปวัฒนธรรม วรรณกรรม นวัตกรรม เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้คนในสังคม
“วิกรม กรมดิษฐ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานกรรมการ บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) และประธานมูลนิธิอมตะ เปิดเผยว่า ในโอกาสครบรอบวันคล้ายวันเกิดปีที่ 70 นับเป็นวาระสำคัญของการวางแผนชีวิตเพื่อส่งต่อความมั่นคงต่อการดำเนินงานของมูลนิธิอมตะอย่างไม่สิ้นสุด จึงได้ทำพินัยกรรมมอบทรัพย์สินส่วนตัวให้แก่มูลนิธิอมตะมูลค่ากว่า 95% ของทรัพย์สินทั้งหมดที่มีอยู่ คิดเป็นมูลค่ารวม 2 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วย ที่ดิน อาคาร คอนโดมิเนียม หุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ตลอดจนทรัพย์สินส่วนตัวอื่นๆ เพื่อให้เป็นสาธารณประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ของการก่อตั้ง อันจะนำไปสู่หนึ่งในกลไกการยกระดับคุณภาพสังคม สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจไทย รวมทั้งจะลดบทบาทหน้าที่จากการดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AMATA และจะนั่งเป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัทฯ พร้อมเปิดกว้างให้บุคลากรที่เป็นมืออาชีพเข้ามาร่วมในบริษัทด้วย
“ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มต้นสู่ธุรกิจ ผมยึดมั่นในเป้าหมาย All Win และความมุ่งมั่นของการทำแต่สิ่งดีงามให้ไว้กับทุกคนมาโดยตลอด โดยเฉพาะเมื่อประสบความสำเร็จในธุรกิจการงานแล้วก็ควรแบ่งผลกำไรกลับคืนสู่สังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้สังคมไทยเป็นสังคมที่มีคุณภาพน่าอยู่เช่นประเทศที่เจริญแล้ว ซึ่งผมได้นำประสบการณ์ชีวิตตั้งแต่วัยเด็กมาเรียบเรียง มาถ่ายทอดเป็นตัวหนังสือ พิมพ์เผยแพร่ไปแล้วกว่า 11.6 ล้านเล่ม เพื่อให้สังคมสามารถเรียนรู้ และนำไปปรับใช้ได้ในโอกาสต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น ดังนั้นการทำพินัยกรรมมอบทรัพย์สินในครั้งนี้ นับเป็นความตั้งใจของผม หลังจากที่ได้เรียนรู้ ฝึกฝนชีวิตกับวิกฤตต่างๆ จนขับเคลื่อนให้ธุรกิจกลุ่มอมตะประสบความสำเร็จในการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมให้เป็นเมืองนวัตกรรมเทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน ด้วยแนวคิดที่เห็นว่า เราเกิดมาจากศูนย์และจากไปเป็นศูนย์ ระหว่างศูนย์เราควรสร้างสรรค์สิ่งที่มีประโยชน์และคุณค่าฝากไว้ให้กับสังคมในระยะยาวตลอดไป”
สำหรับมูลนิธิอมตะได้ก่อตั้งเมื่อ 27 ปีที่แล้ว มีโครงการภายใต้วัตถุประสงค์ เช่น โครงการรางวัล “นักเขียนอมตะ”, โครงการทุนเรียนดี, โครงการประกวดศิลปกรรม “อมตะ อาร์ต อวอร์ด” โครงการด้านนวัตกรรม, โครงการหนังสือดีมีประโยชน์สร้างการเปลี่ยนแปลง และโครงการปรับปรุงอุทยานเขาใหญ่สู่อุทยานมาตรฐานโลกภายในเวลา 10 ปีที่ผ่านมา มูลนิธิอมตะได้เป็นส่วนหนึ่งในการส่งมอบความช่วยเหลือ และแบ่งปันให้แก่สังคมไทยในช่วงสถานการณ์ยากลำบาก เช่น ช่วงที่ไวรัสโควิด-19 ระบาด อมตะได้ทำโครงการบริจาคโลหิต 100 ล้านซีซี กับสภากาชาดไทย
เชื่อว่าจากนี้ไปไม่ว่าจะกี่วิกฤตก็พร้อมที่จะช่วยเหลือสนับสนุนสังคมเพื่อก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่าอย่างยั่งยืนตลอดไป