ความคืบหน้ากรณี นายสืบพงษ์ ปราบใหญ่ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง เป็นโจทก์ ฟ้องดำเนินคดีอาญา นายวุฒิศักดิ์ ลาภเจริญทรัพย์ รักษาการอธิการบดี ม.รามคำแหง และ น.ส.ปภาศรี บัวสวรรค์ รักษาการรองอธิการบดีฯ ม.รามคำแหง รวม 2 คน ในความผิดฐาน ร่วมกันฟ้องเท็จและเบิกความเท็จฯ ตามประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 83, มาตรา 175 และ มาตรา 177 (คดีหมายเลขดำที่ อ.609/2567)
โดยคดีดังกล่าว สืบเนื่องจากจำเลยทั้งสอง ได้ยื่นฟ้องโจทก์ต่อศาลแขวงพระนครเหนือ ในคดีอาญาหมายเลขดำ 1806 /2566 โดยกล่าวหาว่า นายสืบพงษ์แสดงตนเป็นเจ้าพนักงาน และกระทำการเป็นเจ้าพนักงานหรืออธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง ภายหลังปมความขัดแย้งถอดถอนนายสืบพงษ์ ออกจากตำแหน่งอธิการบดี เมื่อวันที่ 8 พ.ย.2565 โดยศาลแขวงพระนครเหนือมีคำพิพากษายกฟ้องฯ การกล่าวหาดังกล่าวไปแล้วเมื่อวันที่ 22 พ.ย.2566 และคดีถึงที่สุดแล้วนั้น
ต่อมา นายสืบพงษ์ จึงมายื่นฟ้องจำเลยทั้งสอง ต่อศาลอาญาเป็นคดีอาญาหมายเลขดำ อ.609/2567 ในฐานร่วมกันฟ้องเท็จและเบิกความเท็จ และศาลได้ไต่สวนมูลฟัองไปเมื่อวันที่ 1 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยในวันดังกล่าว นายสืบพงษ์ได้อ้างตนเองเป็นพยานขึ้นเบิกความและนำพยานบุคคลภายนอกขึ้นเบิกความอีก 1 ปาก เพื่อยืนยันถึงสถานะสถาบันการศึกษาของนายสืบพงษ์ที่ต่างประเทศ ดังนั้นคดีจึงเสร็จสิ้นการพิจารณา ศาลจึงนัดฟังคำสั่งหรือคำพิพากษาในวันที่ 1 ส.ค.ที่ผ่านมา
ผลปรากฏว่า ศาล “มีคำสั่งคดีมีมูลและประทับรับฟ้องไว้พิจารณา” โดยให้โจทก์นำหมายส่งหมายเรียกให้แก่จำเลยทั้งสองภายใน 7 วัน ไม่มีผู้รับโดยชอบให้ปิดหมาย
โดยศาลนัดมาสอบคำให้การจำเลยทั้งสอง และนัดตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 16 ก.ย.2567 เวลา 09.00 น. ที่จะถึงนึ้ ซึ่งเป็นที่น่าจับตามองว่า เกี่ยวกับในเรื่องนี้จะส่งผลต่อสถานะและการทำหน้าที่ของผู้เกี่ยวข้องหรือไม่ ต้องจับตาดูกันต่อไป
ทั้งนี้ ภายหลังศาลมีคำสั่งรับฟ้อง นายสืบพงษ์ กล่าวยืนยันว่า ตนได้ทำงานปฏิบัติตามระเบียบ กฎหมาย กติกาของมหาวิทยาลัยรามคำแหง โดยไม่มีความคิดที่จะทำสิ่งไม่ดีให้กับองค์กร และได้รับการโปรดเกล้าฯ เป็นอธิการบดี เมื่อวันที่ 12 ก.ย. 2564 โดยเรียนจบปริญญาเอกจากสหรัฐอเมริกา และตนเองก็ทำงานที่มหาลัยรามคำแหงมาก่อนเป็นเวลาถึง 11 ปี
