Home Worldwide ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ กลับมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐจะเกิดอะไรขึ้น

‘โดนัลด์ ทรัมป์’ กลับมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐจะเกิดอะไรขึ้น

by admin

เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2567 นายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ และตัวแทนผู้สมัครจากพรรครีพับลิกัน ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศชัยชนะในการเลือกตั้ง ต่อผู้สนับสนุนเขาที่ศูนย์ประชุมปาล์ม บีช เคาน์ตี้ รัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา หลังจากที่สำนักข่าว เอ.พี. ประกาศว่าเขาชนะในรัฐเพนซิลเวเนียซึ่งเป็นรัฐประจัญบาน (Swing State) ที่มี Electoral Vote 19 เสียง มากที่สุดใน 7 รัฐประจัญบาน แม้ว่าจะยังมีการนับคะแนนไม่เสร็จทุกรัฐ แต่เขาก็มีคะแนนนำในรัฐที่เหลือไม่กี่รัฐ

  • เรื่อง: ไพสันติ์ พรหมน้อย

ชาวอเมริกันประมาณ 244 ล้านคน จะมีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงในปี 2024 การเลือกตั้งในปี 2020 มีผู้มาใช้สิทธิ์ลงคะแนนเสียงถึง 66.6% หากเราพบว่ามีผู้มาใช้สิทธิ์ลงคะแนนเสียงมากขนาดนี้อีกครั้ง จะมีผู้มาใช้สิทธิ์ลงคะแนนเสียงมากกว่า 162 ล้านใบ จากประชากรของสหรัฐอเมริกาในปี 2024 อยู่ที่ 335,893,238 คน เพิ่มขึ้น 0.53% จากปี 2023 

ณ เวลา 20.00 น.วันที่ 6 พ.ย.67 (เวลาประเทศไทย) “คามาลา แฮร์ริส” ได้ 47.4% of popular vote (66,164,295 คะแนน) 223 Electoral Vote

“โดนัลด์ ทรัมป์” ได้ 51% of popular vote (71,234,070 คะแนน) 276 Electoral Vote

เมื่อนำคะแนน popular vote ของ 2 คนมารวมกันอยู่ที่ 137,398,365 คะแนน เหลือ Electoral Vote อีก 39 และไม่ทราบว่า popular vote จะเป็นจำนวนเท่าใด

“ฟอกซ์ นิวส์” ซึ่งสนิทสนมใกล้ชิดกับทรัมป์ เป็นสื่อแรกที่ออกมาประกาศว่าทรัมป์เป็นผู้คว้าชัยและจะเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 47 และเป็นบุคคลที่ 2 ในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ ที่ได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในสมัยที่ 2 ที่ไม่ต่อเนื่องกัน ปัจจุบัน “ทรัมป์” อายุ 78 ปี หากเขาครองตำแหน่งครบวาระ 4 ปี เขาก็จะมีอายุ 82 ปี

ถ้าจะบอกว่า ทรัมป์สามารถสยบผู้สมัครสตรีจากพรรคเดโมแคตรได้ทั้ง 2 คนคือ ฮิลลารี คลินตัน ในปี 2016 และคามาลา แฮร์ริส ในปี 2024 มองอีกมุมหนึ่งอาจตีความได้ว่าประเทศสหรัฐอเมริกายังไม่พร้อมที่จะให้สตรีขึ้นเป็นประธานาธิบดีของประเทศ

ทั้งนี้ ทรัมป์ได้รับคะแนนสนับสนุนมากกว่าการเลือกตั้งเมื่อ 4 ปีที่แล้ว (ปีที่เขาแพ้ โจ ไบเดน) ในเกือบทุกพื้นที่ของสหรัฐอเมริกา ผู้สนับสนุนเขายังเพิ่มขึ้นในพื้นที่ชานเมืองของชนบท ไปจนถึงเมืองใหญ่บางแห่งที่เคยเป็นฐานเสียงของพรรคเดโมแครตมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ที่คนมีรายได้สูงหรือรายได้ต่ำ ตลอดจนในพื้นที่ที่มีอัตราการว่างงานค่อนข้างสูงและในพื้นที่ที่มีการว่างงานในระดับต่ำ รวมทั้งคนลงคะแนนเสียงกลุ่มฮิสแปนิก

นักลงทุนทั่วโลกต่างจับตามองชัยชนะของทรัมป์เช่นกัน ในช่วงค่ำวันที่ 5 พ.ย.67 ตามเวลาในสหรัฐฯ สัญญาซื้อขายล่วงหน้าของตลาดหุ้นสหรัฐฯ และค่าเงินดอลลาร์ปรับตัวพุ่งสูงขึ้น ขณะที่ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลและมูลค่าของบิตคอยน์พุ่งสูงขึ้นเช่นกัน โดยนักวิเคราะห์และนักลงทุนต่างระบุว่าการซื้อขายเหล่านี้สนับสนุนชัยชนะของทรัมป์

ผลที่เกิดกระทบทันที

วันที่ 6 พ.ย. ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นทันที หลังจากการนับคะแนนเลือกตั้งสหรัฐฯ ในช่วงต้น

ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินสกุลหลักอื่นๆ รวมทั้งยูโรและเยน โดยเพิ่มขึ้น 0.68% เมื่อเทียบกับเงินเยนไปอยู่ที่ 152.64 เยนต่อดอลลาร์ ขณะที่ยูโรต่อดอลลาร์ ลดลง 0.77% มาอยู่ที่ 1.0844 ดอลลาร์สหรัฐ ค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์เช้าวันที่ 6 พ.ย. อยู่ที่ 33.95 บาทต่อดอลลาร์ ต่อมาเวลา 15.00 น. อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 34.02 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

ขณะที่บิทคอยน์ ก็มีมูลค่าเพิ่มขึ้นมากกว่า 3% ไปอยู่ที่ 71,317 ดอลลาร์ เนื่องจากทรัมป์ถูกมองว่าเป็นผู้สนับสนุนที่แข็งขันต่อสกุลเงินดิจิทัลมากกว่าแฮร์ริส ล่าสุดบิทคอยน์พุ่งสูงทำสถิติทะลุ 75,000 ดอลลาร์ เมื่อวันที่ 6 พ.ย. หลังนักลงทุนเดิมพันว่าทรัมป์จะชนะการเลือกตั้ง การเพิ่มขึ้นของบิทคอยน์แตะระดับสูงสุดตลอดกาลเมื่อเวลาประมาณ 03.00 น. ทำลายสถิติก่อนหน้านี้ที่ 73,797.98 ดอลลาร์เมื่อเดือนมีนาคม 2567

ทรัมป์ยังคงมีคดีอาญา 4 คดีรออยู่

การชนะการเลือกตั้งในปี 2024 อาจช่วยให้โดนัลด์ ทรัมป์ หลีกเลี่ยงคดีอาญา 4 คดีได้ “เมื่อมองข้ามการเมืองไป ทรัมป์ยังมีเดิมพันทางกฎหมายมากมาย” ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายคนหนึ่งกล่าว ทรัมป์ให้คำมั่นว่าจะไล่อัยการพิเศษที่ฟ้องคดีระดับรัฐบาลกลาง 2 คดีต่อเขา

ทรัมป์จะกลับมาดำรงตำแหน่งสูงสุดของประเทศอีกครั้ง ทั้งนี้ เมื่อ 4 ปีที่แล้ว เขายุยงให้เกิดการจลาจลรุนแรงที่อาคารรัฐสภาสหรัฐฯ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามที่จะรักษาอำนาจเอาไว้ โดยเขาปฏิเสธที่จะยอมรับผลการเลือกตั้งในปี 2020 ซึ่งเขาแพ้ให้กับประธานาธิบดีโจ ไบเดน

การเลือกตั้งของทรัมป์ทำให้เกิดสถานการณ์ทางกฎหมายที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เนื่องจากประธานาธิบดีที่ได้รับเลือกจะต้องถูกตัดสินโทษในศาลอาญาของนิวยอร์กในแมนฮัตตัน วันที่ 26 พ.ย.นี้ หลังจากถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานปลอมแปลงเอกสารทางธุรกิจ 34 กระทงเมื่อต้นปี 2567 

“ทรัมป์” จะเป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนแรก หากถูกตัดสินว่ามีความผิดทางอาญา ต้องเผชิญกับโทษจำคุกสูงสุด 4 ปี ในความผิดอาญา 34 กระทง รวมทั้งฐานปลอมแปลงเอกสารทางธุรกิจเพื่อปกปิดการจ่ายเงินปิดปาก 130,000 ดอลลาร์ให้กับ “สตอร์มี แดเนียลส์” นักแสดงหนังผู้ใหญ่ที่เขาไปมีเพศสัมพันธ์ด้วย

นอกจากนี้ ทรัมป์ยังต้องเผชิญกับข้อกล่าวหาทางอาญาอื่นๆ ที่อัยการพิเศษแจ็ก สมิธ ยื่นฟ้องในคดีโค่นล้มการเลือกตั้งระดับรัฐบาลกลางที่กำลังดำเนินอยู่ ทรัมป์ทำให้ข้อกล่าวหาทางอาญาหลายกระทงที่เขาถูกฟ้องเป็นประเด็นสำคัญในหาเสียงปี 2024 ของเขา โดยเขาโต้แย้งว่าเขาตกเป็นเป้าหมายอย่างไม่ยุติธรรม และให้คำมั่นว่าจะแสวงหา “การแก้แค้น” หากได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีอีกครั้ง ทรัมป์สามารถขอให้อัยการสูงสุดไล่สมิธออกได้

นี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับคดีอาญาสี่คดีของทรัมป์ – สองคดีเป็นคดีระดับรัฐบาลกลาง และอีกสองคดีระดับรัฐ

รีพับลิกันคุมเสียงข้างมากในคองเกรส

การเลือกตั้ง 5 พ.ย. พรรครีพับลิกันยังคว้าชัยชนะและสามารถครองเสียงข้างมากในวุฒิสภาสหรัฐเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี จากผลการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาสหรัฐชี้ว่า พรรครีพับลิกันสามารถครองเสียงข้างมากที่ 52 เสียงได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขณะที่พรรคเดโมแครต ได้ไป 42 เสียง และยังเหลือที่นั่งที่ยังไมได้ประกาศผลอีก 6 ที่นั่ง (วุฒิสมาชิกมี 100 ที่นั่ง จากรัฐละ 2 ที่นั่ง)

ในส่วนของสภาผู้แทนราษฎรยังคงต้องลุ้นกันต่อไป ขณะนี้ที่มีการนับคะแนนอยู่ พรรครีพับลิกันได้ไป 203 ที่นั่ง ส่วนเดโมแครตได้ไป 181 ที่นั่ง และยังมีที่นั่งที่ยังไม่ได้ประกาศผลอีก 51 ที่นั่ง ทำให้พรรครีพับลิกันต้องการเสียงอีกเพียง 15 ที่นั่ง ก็จะครองสภาล่างไว้ได้ด้วยเช่นกัน (ส.ส.มีทั้งหมด 435 ที่นั่ง เกินครึ่งก็ 218 เสียง)

ถ้าผลการเลือกตั้งทั้งหมดเป็นไปตามแนวโน้มดังกล่าว ก็จะทำให้พรรครีพับลิกันกลายเป็นศูนย์กลางอำนาจในกรุงวอชิงตันทันที ขณะที่พรรคเดโมแครต คงต้องมานั่งวิเคราะห์กันอย่างจริงจังว่า อะไรเป็นสาเหตุให้พรรคประสบความพ่ายแพ้ย่อยยับในทุกเวทีเช่นกัน

องค์กรนาโตจะปวดหัวมากยิ่งขึ้น

คงจำได้ว่าเมื่อโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ เขาเคยขู่ว่าสหรัฐจะแยกตัวจากองค์กรนาโต้ ในการประชุมสุดยอดที่กรุงบรัสเซลส์ในปี 2018 เพื่อบังคับให้พันธมิตรอื่นๆ เพิ่มการใช้จ่ายด้านกลาโหม

ค่าใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศของสหรัฐฯ จะพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 968 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024 (สัดส่วนการใช้จ่ายของสหรัฐฯ ในยุโรป ด้านกลาโหมไม่ได้เปิดเผย)

สำหรับงบประมาณของพันธมิตร 30 ประเทศในยุโรปและแคนาดา มีมูลค่ารวม 506 พันล้านดอลลาร์ คิดเป็นร้อยละ 34 ของยอดรวมทั้งหมด เป็นเรื่องจริงที่สมาชิก 23 ประเทศจากทั้งหมด 32 ประเทศคาดว่าจะใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศมากกว่าร้อยละ 2 ของ GDP ในปี 2024 แต่ในปี 2014 ซึ่งเป็นปีที่ตั้งเป้าหมายไว้ การใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศนอกสหรัฐฯ ในนาโต อยู่ที่ร้อยละ 24 ต่ำกว่าขณะนี้แต่ไม่ได้ลดลงอย่างมากนัก

ทหารสหรัฐฯ ประจำการอยู่ในเยอรมนีมาเป็นเวลานานแล้ว แต่ “โจ ไบเดน” ได้เคลื่อนย้ายกองพลจำนวน 3,000 นายเข้าไปในโรมาเนีย กองบัญชาการกองพลส่วนหน้าประจำการอยู่ในโปแลนด์ และกองทหารสหรัฐฯ มีส่วนสนับสนุนในการป้องกันประเทศแถบบอลติก ขณะที่กองบินขับไล่และทิ้งระเบิดประจำการอยู่ในสหราชอาณาจักร และเรือพิฆาต 5 ลำประจำการอยู่ในสเปน

ปัจจุบันสถานการณ์โลกเปลี่ยนไป รัสเซียทำสงครามกับยูเครนเต็มรูปแบบ มีความแตกต่างที่สำคัญสองประการเมื่อเทียบกับวาระแรกของทรัมป์ ประการที่เห็นได้ชัดที่สุดคือผลกระทบของสงครามในยูเครนที่มีต่อแนวรบด้านตะวันออก ซึ่งฟินแลนด์และสวีเดนได้เข้าร่วม และประเทศแนวหน้าได้เพิ่มการใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโปแลนด์ มีงบประมาณสูงกว่า 4% ของ GDP อาวุธที่วอร์ซอกำลังซื้ออยู่ ได้แก่ รถถัง K2 จำนวน 1,000 คันจากเกาหลีใต้ และรถถัง M1A1 Abrams มากกว่า 350 คันจากสหรัฐฯ

“องค์กรนาโต้” ต่างมีความหวังว่าทรัมป์จะยังคงช่วยเหลือพันธมิตรในยุโรปต่อไป แต่ก็ไม่แน่ ทรัมป์อาจเสนอให้ยูเครนยอมเจรจายุติสงครามก็ได้ ซึ่งจะขัดความรู้สึกของยูเครนและองค์กรนาโต้เช่นกัน

Related Articles

Leave a Comment